สถิติวันนี้ | 126 คน |
สถิติเดือนนี้ | 904 คน |
สถิติปีนี้ | 17,797 คน |
สถิติทั้งหมด | 230,594 คน |
ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2554 |
2.
เพื่อพัฒนาแหล่งเรียนรู้ที่จัดแสดงวัฒนธรรมประเพณีของเมืองแม่ฮ่องสอนให้สามารถรองรับการเพิ่มขึ้นและสร้างแรงจูงใจมาเยี่ยมชมของนักท่องเที่ยว
3.
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ
ในการพัฒนาและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชาวไทใหญ่
ให้เกิดประโยชน์ทางด้านการพัฒนาการท่องเที่ยว และการสืบทอดมรดกอันดีงามแก่คนรุ่นใหม่ในชุมชนไทใหญ่
กล่าวเปิดการเสวนาวิชาการวัฒนธรรมไทใหญ่
โดย นายวิรุฬ พรรณเทวี
รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน
สรุป
ความหลากหลายของชาติพันธุ์ในแม่ฮ่องสอน
และการอยู่ร่วมกันโดยให้เกียรติซึ่งกันและกัน
- การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมกัน สร้างความเข้มแข็งไม่ให้เกิดความแตกแยก
แบ่งแยก สนับสนุนให้เกิดการรวมกลุ่มชาติพันธุ์ให้มีความเข้มแข็ง
- เป็นโอกาสที่ดีที่มีศูนย์ไทใหญ่ศึกษาเป็นแกนกลางในการหนุนเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนในกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่
-
ในส่วนของวัฒนธรรมประเพณี ยังมีหลายเรื่องที่ยังไม่เกิดความเข้มแข็ง
ยังมีการขายวัฒนธรรมในเชิงของการท่องเที่ยว การนำไปทำในที่อื่นๆ
-
ระเด็นที่น่าเป็นห่วงและต้องการให้มีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง เช่น
การแต่งกายของผู้เข้าร่วมกิจกรรมทางวัฒนธรรมประเพณี เช่น ปอยส่างลอง
การดื่มสุราในงานประเพณี
- การรณรงค์สร้างจิตสำนึกด้วยตัวของคนในชุมชนเอง
ให้มองว่าการมีงบสนับสนุนจากแหล่งทุนต่างเป็นเพียงตัวมาช่วยหนุนเสริม
แต่ทุกอย่างต้องเริ่มด้วยความตระหนัก สำนึกของคนในแม่ฮ่องสอนเอง
- นโยบายของจังหวัดให้ความสำคัญในการส่งเสริมด้านการศึกษา
เนื่องจากศักยภาพของเด็กในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนยังมีพื้นฐานด้านการศึกษาที่ค่อนข้างต่ำ
ยังไม่สามารถแข่งขันกับที่อื่นๆได้
โดยดูจากจำนวนนักเรียนที่สอบได้หรือสอบติดในโควต้าสถาบันการศึกษาต่างๆ
ประเด็นฐานะความยากจนของครอบครัวที่ยังไม่เอื้อต่อการเสริมศักยภาพให้กับเด็ก
- ในภาคการศึกษา ศูนย์วัฒนธรรมไทใหญ่จะมีส่วนร่วมในการหาทางการแก้ไขปัญหาอย่างไร
- การสร้างหอพักให้กับเด็กนักเรียนที่ด้อยโอกาส
ร่วมกับมีการฝึกวิชาชีพให้กับเด็กในหลายๆด้าน เป็นศูนย์วิจัย
- สร้างให้เป็นศูนย์เรียนรู้ ไทใหญ่ศึกษา ร่วมกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
ศูนย์ด้านการท่องเที่ยว แหล่งศึกษาดูงาน บริหารจัดการให้ศูนย์ดูแลตัวเอง
- เป็นศูนย์เรียนรู้ที่รวมทุกมิติ ทั้งด้านวัฒนธรรม ด้านอาชีพ ด้านการศึกษา
- เพื่อลดปัญหาการออกไปเรียนนอกพื้นที่ของเด็กเยาวชน
และเกิดการเปลี่ยนแปลงหลงลืมวัฒนธรรมของตนเอง
- ทำอย่างไรจึงจะสามารถดึงเด็กเยาวที่มีศักยภาพกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยพัฒนาจังหวัดแม่ฮ่องสอน
บรรยายพิเศษ
เรื่อง “แนวคิดกระบวนการศึกษาเกี่ยวกับชาติพันธุ์ไทใหญ่ในศตวรรษที่
21”
โดย ดร. ชยันต์
วรรธนะภูติ
สรุปเรื่อง
ไทยกำลังก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
การศึกษาเป็นเสาหลักหนึ่งของการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียน
ในมิติทางด้านวัฒนธรรม
คนข้างนอกอาจจะมีปัญหาในความเข้าใจที่ถ่องแท้ทางวัฒนธรรม
ในขณะที่คนภายในมีความรู้มีความเข้าใจเป็นอย่างดี
แต่อาจจะมองผ่านเลยความสำคัญบางจุดบางเรื่องมองเป็นเรื่องธรรมดาไม่ได้ตั้งคำถามกับบางเรื่องที่อาจจะมีความสำคัญ
ดังนั้นจำเป็นจะต้องมีเครื่องมือที่เชื่อมโยงระหว่างแนวคิดมุมมองของคนภายในกับคนภายนอก
ประการแรก ความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมฯ
ของตนเอง เป็นสิ่งที่ควรมี แต่ต้องไม่ลืมว่าเราอยู่ในความหลากหลายของวัฒนธรรม
และมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมที่แตกต่าง
บริบททางประวัติศาสตร์ ในเส้นทางความเป็นมาของชาติพันธุ์ไทใหญ่
ได้มีการพบปะสัมพันธ์กับกลุ่มพี่น้องชาติพันธุ์ ที่เป็นคนพื้นถิ่น ต่างๆ
ทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เกิดการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์
มีความผสมกลมกลืนกัน มาโดยตลอด
ดังนั้นในมิติทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเรามีความสัมพันธ์
ผสมกลมกลืนกันมาโดยตลอด ถ้าเราเข้าใจในทางประวัติศาสตร์นี้
เมื่อเราพูดถึงชาติพันธุ์ต้องให้ความสำคัญเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
ประการที่สอง
บริบทของการบูรณาการของรัฐชาติ ในมิติความเป็นรัฐชาติ
เราอยู่ในบทบาทของความเป็นชนกลุ่มหนึ่งที่มีขนาดใหญ่และอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ
ซึ่งอยู่ร่วมกันในฐานะของความเป็นพลเมืองไทย การที่เราถูกเรียกว่าอย่างไร
หรือเราเรียกคนกลุ่มอื่นๆว่าอย่างไร
ควรคำนึงถึงเรื่องของความเป็นรัฐชาติเดียวกันด้วยเช่นกัน
การมีความเข้าใจในอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย อย่างในรัฐฉาน
ก็จะมีการแบ่งกลุ่มคนตามเมืองต่างๆ เป็นกลุ่มย่อย ๆ
ในมิติของเวลา
ที่มีการเคลื่อนย้ายอพยพเข้าไปอยู่ในที่ต่างๆ อาจจะเกิดการถูกมองว่าเป็นไตใน ไตนอก
ดังนั้นในทางวิชาการ ต้องทำความเข้าใจและระวังในเรื่องแนวคิดเช่นนี้ด้วยเช่นกัน
ในมิติของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมวิถีชีวิต
บางเรื่องที่จำเป็นต้องเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน
บางเรื่องที่ต้องอนุรักษ์ไว้ก็ควรอนุรักษ์ไว้
ในมิติของการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเราจะดำรงอัตลักษณ์ความเป็นไต ไว้อย่างไร
เราอาจจะต้องมองถึงความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมในเชิงของการสร้างวัฒนธรรมที่กินได้
ประเด็นท้าทายในการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่
การศึกษาโดย “คนนอก” ปัญหา : ต้องใช้เวลาในการไขรหัสของวัฒนธรรม
ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลลึก
การศึกษาโดย “คนใน” หรือ การศึกษาตนเอง ปัญหา:
มักมองข้ามสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีความโน้มเอียงที่จะมีอคติ
การมองกลุ่มชาติพันธุ์ในฐานะที่สัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น
•
อัตลักษณ์ชาติพันธุ์เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ (เรา
- เขา)
•
กลุ่มชาติพันธุ์ กับรัฐชาติ (กลุ่มชาติพันธุ์ที่กุมอำนาจรัฐ)
•
การนิยามตนเอง และการถูกนิยามด้วยคนอื่น
ความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์
•
ท้องถิ่น/พื้นที่
•
มิติของเวลา
•
สถานการณ์
เข้าใจกลุ่มชาติพันธุ์ในสถานการณ์/บริบทที่แตกต่าง
•
บริบททางประวัติศาสตร์
•
บริบทของการบูรณาการของรัฐชาติ
•
ASEAN Connectivity (ความเชื่อมโยงด้านวัฒนธรรม
การท่องเที่ยว และการค้าชายแดน
)
•
บริบทของโลกาภิวัตน์ (Local/Global)
•
หลีกเลี่ยงการมองอย่างสารถัตนิยม
•
Essentialism
•
Romanticism
•
Ethnocentrism
แนวโน้มของการศึกษาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์
อัตลักษณ์ชาติพันธุ์
มีความหมายแค่เพียง
•
ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ
•
ภาษา วรรณกรรม
•
เครื่องแต่งกาย บ้านเรือน อาหาร
ประเด็นที่มักถูกละเลย
•
สำนึกทางชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญา
•
วิถีการดำรงชีวิต (เศรษฐกิจ การค้า)
•
อำนาจ และการเข้าถึงทรัพยากร (การถูกกีดกัน หรือถูกเบียดขับ )
•
ประเด็นเกี่ยวสิทธิทางวัฒนธรรม นโยบายทางด้านภาษาสิทธิชุมชน
ประเด็นที่ควรศึกษา
1.
การประเมินสถานภาพไทใหญ่ศึกษา
การประเมินสถานภาพไทใหญ่ศึกษาในแง่วิชาการต้องสำรวจว่าเรามีความรู้ในเรื่องวัฒนธรรมไทใหญ่มากน้อยแค่ไหน
มีการศึกษาของนักวิชาการทั้งชาวไท-ต่างชาติ เรามีการรวบรวมบันทึกไว้มากน้อยแค่ไหน
เรายังขาดความรู้เรื่องอะไร
2.
ประวัติศาสตร์และความทรงจำร่วมของชาวไต/ไท
3.
เส้นทางการค้าทางเรือของพ่อค้าไทใหญ่ / เศรษฐกิจการค้าชายแดน
4.
ครอบครัว และระบบเครือญาติไต/ไท
ข้อสังเกตแม่ฮ่องสอนก้าวเข้าสู่ของความเป็นเมืองของผู้สูงอายุหรือยัง
การส่งลูกหลานออกไปเรียนข้างนอก ผู้สูงอายุขาดการดูแลหรือไม่
ความเข้มแข็งของครอบครัวอยู่ในระดับไหน
5.
ระบบอุปภัมภ์และการเมืองท้องถิ่นในชุมชนไต/ไท
6.
วิถีชาติพันธุ์ไต/ไทและความทันสมัย
7.
การค้าข้ามแดน ผู้ค้าข้ามแดน: เศรษฐกิจนอกระบบ
8.
ความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทใหญ่สองฝั่งสาละวิน
9.
แม่สะเรียง: พหุวัฒนธรรมในสังคมไทใหญ่
10.
ปายที่แปรเปลี่ยน: ชุมชนไทใหญ่กับการต่อรองทางวัฒนธรรม
11.
ครูหมอไต จเร และพระสงฺฆ์ ในกระบวนการอนุรักษ์วัฒนธรรมไต/ไท
12.
ชุมชนไต/ไทในการปรับตัวสู่ประชาคมอาเซียน
13.
สานศิลป์ถิ่นไต: เครือข่ายสังคมข้ามแดน
14.
ปอยปีใหม่ไต: การประกอบสร้างสัญญวัฒนธรรมไต/ไทในบริบทประชาคมอาเซียน
ยุทธศาสตร์ในการศึกษาวัฒนธรรมชาติพันธุ์ไต/ไท
1.
สร้างทีมวิจัย อบรมนักวิจัย สร้างนักวิจัยชาวไต-ไท
เชื่อมโยงกับผู้รู้ ผู้อาวุโส จเร ชุมชนฯลฯ
2.
กระบวนการคิดเพื่อสร้างปัญหาในการวิจัย ผ่านประชุมเชิงปฏิบัติการ
การทำเรียนรู้การสร้างโจทย์ ที่มีเป้าหมายในการสร้างสำนึกชาติพันธุ์ และการพัฒนา
3.
ปฏิบัติการ และทบทวนบทเรียน ผ่านเวทีวิชาการ
หัวข้อ“ปอยปีใหม่ไต อัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ คงอยู่หรือสูญสิ้น” (ผู้ร่วมเสวนา ครูส่างคำ จางยอด, พ่อครูปายเมือง ลายใส)
สรุป
พ่อครูปายเมือง ลายใส
ประเด็นความสำคัญที่ต้องมีปอยปีใหม่ไต
- การสูญเสียดินแดนของชาวไต
และอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลประเทศเมียนมาร์
- ความสัมพันธ์ ความสามัคคี
และความคิดเห็นที่เหมือนและแตกต่างของผู้นำกลุ่มต่างๆ
- ที่ผ่านมาให้ความสำคัญกับการเอาความสนุกสนานรื่นเริงมาเป็นส่วนสำคัญมากกว่าการนำเอาภูมิปัญญาวัฒนธรรมมาเป็นส่วนสำคัญในการจัดปอย
-
หาผู้ที่มีความรู้ภูมิปัญญาอย่างแท้จริง ผู้รู้ที่ปฏิบัติในศีลธรรมอย่างเคร่งครัด
ได้ยาก
-
มีการจัดทำบันทึกความเป็นมาและความสำคัญ ตลอดจนแนวทางหรือวิธีการปฏิบัติในการจัดงาน
ปีใหม่ไต ไว้ค่อนข้างละเอียด ว่าต้องทำอะไรอย่างไรในช่วงเวลาไหนบ้าง
- บันทึกการศึกษา ความรู้เกี่ยวกับปีใหม่ไต
ได้มีการจัดทำไว้หลากหลายแหล่งหลายที่
อาจจะมีความเหมือนความต่างกันไปดังนั้นหากจะมีการศึกษาร่วมกันน่าจะเป็นการดีเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ
ครูส่างคำ
จางยอด
- แม่ฮ่องสอนยังเป็นเมืองที่รักษาคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของความเป็นไทใหญ่ไว้
ทั้งภาษาพูด การแต่งกาย วัฒนธรรมประเพณี
- ปอยปีใหม่ไต
มีการปฏิบัติมาตั้งแต่อดีตกาล
แต่ขาดการบันทึกไว้เนื่องด้วยที่ต้องขึ้นอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของเมียนมาร์
มีความเกรงกลัวที่จะทำบันทึกไว้
-
มีเอกสารบันทึกการนับวัน ปี เดือนของชาวไต
และการอธิบายถึงความสัมพันธ์กับช่วงเวลาของธรรมชาติไว้อย่างละเอียด
และเป็นฐานที่มาของการกำหนดวันปีใหม่ไต
- ควรมีการจัดทำการศึกษาวิจัยในเรื่อง
ปีใหม่ไต เพื่อให้เกิดการจัดปอยปีใหม่ไตอย่างเหมาะสมและถูกต้อง
และเกิดประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการจัดปีใหม่ไตอย่างแท้จริง และมีการเผยแพร่ให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง
- ความสำคัญของปีใหม่ไต
ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับในเรื่องของทางศาสนาโดยตรง
และไม่ได้เกี่ยวข้องกับในเรื่องของประวัติศาสตร์ความเป็นชาติไต
- ความสำคัญของปีใหม่ไต นั้น อยากให้ตระหนักและคิดว่าเป็นวันของครอบครัว
การขอขมาผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่จำเป็นต้องไปจัดงานยิ่งใหญ่ ทุกคนสามารถทำได้ในครอบครัว
ผู้นำชุมชนบ้านคาหาน
-
ทางชุมชนได้มีการจัดงานปีใหม่ไตต่อเนื่องมาสองปี โดยการสนับสนุนจากวิทยาลัยชุมชนแม่ฮ่องสอน
และจังหวัดแม่ฮ่องสอน
- เน้นในเรื่องของการแต่งกาย
การจัดเรื่องอาหารการกิน การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม
ประวัติของปอยปีใหม่ไต
(นายประเสริฐ ประดิษฐ์)
ปีใหม่ไต
เริ่มต้นครั้งแรกเป็นมาอย่างไรนั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
แต่นักประวัติศาสตร์และนักวิชาการของชาวไต
ได้ลงความเห็นร่วมกันตามหลักฐานที่สืบค้นได้ว่า ปีใหม่ไต ได้เริ่มต้นเมื่อปีพ.ศ. 450 ก่อนคริสตศักราช 95 ปี
มีการเริ่มนับปีเมื่อครั้งอาณาจักรไตได้นำเอาพระไตรปิฏกเข้ามาจากประเทศอินเดียเป็นปีแรก
ในขณะที่พวกไตอีกกลุ่มหนึ่ง
เริ่มนับปีครั้งเมื่อเจ้าฟ้าเมืองไตในอาณาจักรไตมาว
ได้รวบรวมบ้านเมืองขึ้นเป็นปึกแผ่น เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่
ซึ่งพวกไตทั้งสองกลุ่มต่างก็นับเอาวันขึ้น 1 ค่ำ
เดือนเจ๋ง (อ้าย) เป็นวันปีใหม่
ต่อมา ในปีพ.ศ. 2098 ตรงกับ ค.ศ. 1555
อาณาจักรไตได้ถูกอิทธิพลของพม่าเข้าคุกคาม ครอบงำ และในปีพ.ศ. 2136 ได้ถูกอิทธิพลของอาณาจักรจีนเข้าครอบงำอีก จึงทำให้ชาวไตดังกล่าว
เปลี่ยนไปยึดถือวันปีใหม่ตามอาณาจักรที่ปกครองครอบงำเหล่านั้น ระยะหนึ่ง
ครั้นต่อมา ในปีพ.ศ. 2509 ซึ่งตรงกับคศ. 1966 คณะกรรมการภาษาและวัฒนธรรมเมืองมาว
(ก๋อลีกลายฟิงเหง้เมืองมาว) ได้ฟื้นฟู “วันปีใหม่ไต” ขึ้น พออีกหนึ่งปีต่อมาได้ขยายไปยังเมืองล้าเสี้ยว
และอีกสามปีต่อมาก็ขยายไปยังชาวไตทางตะวันออก และตอนใต้
แล้วเริ่มต้นยึดถือเอาวันขึ้น 1 ค่ำ เดือนเจ๋ง
เป็นวันปีใหม่ของชาวไตอย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้งหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2518
สำหรับชาวไตในประเทศไทยนั้น ตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2529 คนไตสัญชาติไทย ซึ่งมีลุงทุน ลุงแสง และลุงจายจื้น
ได้รณรงค์จ้ดงานปีใหม่ไตขึ้นทุกปีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
โดยยึดถือเป็นประเพณีของชาวไตบ้านใหม่หมอกจ๋าม อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
มาจนตราบเท่าทุกวันนี้
กิจกรรมและพิธีกรรมในการจัดงานปีใหม่ไต
มีดังนี้
วันแรม 15 ค่ำ เดือน 12 (วันเดือนดับ) เรียกว่า วันรับเจ๋ง
หรือวันรับต้อนปีใหม่ ซึ่งจะมีพิธีทางศาสนา
มีการเตรียมอาหารและขนมต่างๆเพื่อเลี้ยงดูกันในวันปีใหม่ มีพิธีฮอลีก
มีการเล่นสนุกสนานตามวัฒนธรรมท้องถิ่น อาจมีการต้อนรับปีใหม่เมื่อย่างเข้าเวลา 1 นาฬิกา หรือหลังเที่ยงคืน
วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน เจ๋ง ซึ่งตรงกับวันปีใหม่
จะมีการถวายและให้ทานข้าวใหม่และขนมต่างๆให้กับญาติพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียง
มีการทำบุญเลี้ยงพระ รวมทั้งจัดเลี้ยงอาหารผู้มาร่วมงานในกรณีทำบุญที่วัด
มีการละเล่นต่างๆ การแข่งขัน และการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น
ในระยะหลังอาจนำเอาวันไหว้ครูหมอไตมาจัดรวมกันกับวันปีใหม่ด้วย
ซึ่งจะเน้นกิจกรรมบูชาครูหมอไตและการฮอลีกเป็นหลัก
ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของท้องถิ่นนั้นๆ นั่นเอง
หัวข้อ“ปอยยกย่องเชิดชูครูหมอไต เรื่องใหม่ของแม่ฮ่องสอน”
สรุปเรื่อง
ประวัติความเป็นมา ความสำคัญ ความเชื่อ
และกระบวนการจัดปอยยกย่องครูหมอไต
โดย ครูส่างคำ จางยอด,
นางสาวแสงระวี เมืองดี
ประวัติการจัดงานครูหมอไตย
(โดย นางสาว แสงระวี เมืองดี)
7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 SSA จัดงานวันชาติไตยขึ้นเป็นครั้งแรก
(ปอยวันไตย) เพื่อให้เป็นศูนย์รวมชาวไตยผู้รักชาติในการกอบกู้เอกราช
แต่ถูกทางการสั่งห้ามเพราะเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง
พ.ศ. 2518
คณะกรรมการจัดงานประชุมหารือเพื่อเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานแต่ยังคงวัตถุประสงค์เดิมเพื่อให้เป็นศูนย์กลางการพบปะของพี่น้องชาวไตยทั่วทุกภาคทั้งในเมืองไทยและเมืองไตย
(โดยมีลุงขุนมห่า อู๋คำสร้อย เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ 11 คน)
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 คณะกรรมการจัดงานเปลี่ยนมาเป็น
“ปอยวันยกย่องครูหมอไตย” แทน
เพื่อให้ผู้มาร่มงานรู้สึกสบายใจในการมาร่วมงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติเจ้าครูหมอไตย
ในงานมีการกล่าวถึงความเป็นมาของครูหมอไตยและมีการฮอลีกโหลง
การเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานได้รับเสียงตอบรับจากพี่น้องชาวไตยอย่างมากมาย
2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 (ตรงกับ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 3) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ,
สมเด็จพระเทพฯ,สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ เสด็จเยี่ยมวัดหมอกจ๋าม
ซึ่งตรงกับการจัดงานยกย่องครูหมอไตย
หมายเหตุ
1.
ตามบันทึกจากคำบอกเล่าล้นเกล้าฯทั้งสองทรงเสด็จเยี่ยมบ้านใหม่หมอกจ๋ามถึง
7 ครั้ง ในระหว่างปี พ.ศ. 2516-2522
ในที่นี้ตรงกับการจัดปอยยกย่องครูหมอไตยถึง 2 ครั้ง
2.
จากบันทึกของโครงการหลวงล้นเกล้าฯทั้งสองทรงเสด็จเยี่ยมวัดหมอกจ๋าม 2 ครั้ง (ครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2519 ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520)
“ล้นเกล้าทั้งสองยังทรงตรัสถึงชาวไตทั้งหลายว่า “ให้รู้จักรักษา ขนบธรรมเนียม ประเพณี อันดีงามของชาวไตยไว้ ชั่วกาลนาน”
3.
จากพระดำรัสข้างบนคณะกรรมการจัดงานปอยยกย่องครูหมอไตยจึงได้มีมติให้
“ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปีเป็นวันจัดงาน “ปอยยกย่องครูหมอไตย”
เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่การจัดงานสืบมา
พิธีกรรมทางศาสนา
*
บูชาพระรัตนตรัย
*
อาราธนาศีล ทำพิธีไหว้เจ้าครูหมอ
*
กล่าวถึงความเป็นมาของเจ้าครูหมอ
*
ฮอลีกโหลง
*
ถวายไทยทาน
*
กรวดน้ำแผ่กุศลให้เจ้าครูหมอ
*
พระสงฆ์อนุโมทนา
วัตถุประสงค์ของการจัดงาน
1.
เพื่อเชิดชูเกียรติเจ้าครูหมอไตย
2. เพื่อเป็นการอนุรักษ์
และสืบสานประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามของชาวไทยใหญ่ให้ยั่งยืนสืบไป
3.
เพื่อให้เยาวชนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ประเพณีอันดีงามนี้
4. เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามนี้ให้แก่ประชาชนทั่วไป
5.
เพื่อเป็นการสร้างความสมัครสมานสามัคคีกันของฟี่น้องชาวไทยใหญ่
ครูส่างคำ จางยอด
วันยกย่องเจ้าครูหมอไต เป็นวันที่เรา/คนในรุ่นปัจจุบัน
จะได้รับรู้ประวัตินักปราชญ์ผู้รู้ ที่มีความสำคัญต่อคนไตจากหลากหลายที่
ด้วยแนวความคิด “ถ้าไม่มีเมื่อวานก็ไม่มีวันนี้ ถ้าไม่ทำวันนี้ก็จะไม่มีให้เห็นในวันข้างหน้า”
“กินน้ำอย่าลืมคนขุดบ่อ กินข้าวอย่าลืมคนขุดคันนา”
ดังการที่เราได้อยู่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้ก็เป็นผลมาจากผู้รู้ในสาขาต่างๆที่ได้ร่วมทำร่วมสร้างมาแต่อดีต ไม่ให้หลงลืมบรรพบุรุษ การที่จะทำให้มีความต่อเนื่อง
ไม่ใช่เพียงแค่ว่ามีการจัดต่อเนื่องกันมาจำเป็นต้องจัดต่อไป
แต่ต้องเป็นการจัดแล้วทำให้เกิดการเรียนรู้
เกิดความตระหนักเกิดการสืบทอดต่อองค์ความรู้ภูมิปัญญา
และเป็นงานที่เปิดพื้นที่ให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้แสดงความรู้ความสามารถร่วมด้วย การจะจัดในพื้นที่ปอยหมอไตในพื้นที่แม่ฮ่องสอนมีประเด็นฝากเพียงแค่ทำอย่างไรไม่ให้เกี่ยวพันกับในเรื่องทางการเมือง
ข้อคิดเห็นต่อการจัดปอยยกย่องครูหมอไตในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
นางเพ็ญศรี นุชทรวง
นางเพ็ญศรี นุชทรวง จากการรับฟังจากผู้รู้ทั้งสองท่าน
มองว่าสิ่งที่ทางแม่ฮ่องสอนให้ความสำคัญและปฏิบัติการมาต่อเนื่องจะเป็น ในเรื่องของการอยู่ร่วมกันอย่างมความสามัคคี
การกตัญญูรู้คุณ ให้ความเคารพยกย่องบรรพบุรุษ ผ่านกิจกรรมทางวัฒนธรรมประเพณี เช่น
การกั่นตอ การจัดงานรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุของป๊อกต่างๆ ในช่วงเดือนห้า เป็นต้น
แต่ยังไม่มีการจัดงานเป็นรูปแบบปอยยกย่องพ่อครูหมอไต อย่างบ้านใหม่หมอกจ๋าม มีความเห็นว่าการจัดเป็นเรื่องที่ดี
แต่ถ้าเป็นเพียงการป่าวประกาศให้คนมาร่วม ใช้งบประมาณ
ขาดรูปแบบวิธีการที่จะทำให้เห็นหรือตระหนักถึงความเป็นไทใหญ่
ก็อาจจะเกิดประโยชน์น้อย
การถ่ายทอดวัฒนธรรมประเพณี
ต้องตระหนักในความเป็นแก่นแท้และความหมายของวัฒนธรรม
โดยการปลูกฝังเยาวชนให้ตระหนักถึงความสำคัญวัฒนธรรมประเพณีของตนเอง
ให้รู้จักสำนึกเข้าไปในจิตใจ วัฒนธรรมนั้นถึงจะคงอยู่และถูกสืบทอดต่อไป
เกียรติศักดิ์
วนากมล
- การสืบสานวัฒนธรรมประเพณีของเรา
เราต้องรู้ให้ได้ว่าจัดเพื่ออะไร เกิดประโยชน์อะไร เวลาเราจัดงานอย่างคิดเพียงแต่งานสนุกสนาน
ก็จะทำให้เกิดการลดความสำคัญของทางวัฒนธรรมประเพณีที่แท้จริงไป
- การเตรียมการถ้าจะจัดในแม่ฮ่องสอน
ต้องมีกระบวนการที่ทำให้คนในชุมชนเกิดการมีส่วนร่วม เห็นความสำคัญ
ไม่ใช่เพียงเน้นแต่รูปแบบพิธีการ ต้องมีการเตรียมชุมชนให้พร้อมก่อน เมื่อก่อนมีการใช้การฮอลีกนการสื่อสารที่มาของทางวัฒนธรรมต่างๆ
แต่ในปัจจุบันเราจะมีวิธีการสื่อสารอย่างไรให้เกิดความเข้าใจความตระหนักเช่นการฮอลีก
- คนไต มีความเชื่อส่วนหนึ่งว่า
ไม่มีในประเพณี อย่าทำให้มีในประเพณี
ซึ่งขาดการปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ในที่สุดก็ถูกลดความสำคัญและสูญหายไป
การมีพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงความรู้ความสามารถของตนเองด้วยแต่ยังคงเอกลักษณ์
หรืออัตลักษณ์ของความเป็นไทใหญ่ไว้
- ถ้าเราไม่ทำให้คนเห็นว่ามันมีคุณค่า
ก็จะเป็นการทำให้เพียงผ่านๆไป เอาความง่ายเข้าว่า ในที่สุดก็จะเป็นงานที่ไม่มีความสำคัญ
และเกิดการสืบสานในสิ่งที่ผิดๆ
-
ต้องสร้างกระบวนการเตรียมความพร้อมภายในปีสองปีและให้เกิดการมีส่วนร่วมในคนทุกกลุ่มทุกวัย
นายประเสริฐ ประดิษฐ์
- ปัจจุบันมีชาวต่างชาติจำนวนมาก เช่น
อ.ปีเตอร์
ได้มาศึกษาเรียนรู้เรื่องภาษาไทใหญ่กับศูนย์ไทใหญ่ศึกษา
เราจะทำอย่างไรให้คนแม่ฮ่องสอนลูกหลานคนแม่ฮ่องสอนเกิดความตระหนักเห็นความสำคัญเหมือนชาวต่างชาติเช่นนี้บ้าง
- แม่ฮ่องสอน
มีผู้รู้ภูมิปัญญาอยู่หลากหลาย บางคนได้รับการยกย่องเชิดชูจากที่อื่น
แต่ภายในจังหวัดแม่ฮ่องสอนเราเองยังขาดการให้ความสำคัญยกย่องเชิดชู
และเรียนรู้จากผู้รู้ต่างๆเหล่านี้อย่างเป็นจริงเป็นจัง
ความเห็นข้อซักถามจากผู้เข้าร่วมเวทีอื่นๆ
ประธานสภาวิทยาลัยชุมชนสตูล
ถึงพูดไปมากมายก็หายหมด
แต่รอยจดด้วยพู่กันนั้นไม่หาย
ทุกอย่างในการอนุรักษ์สืบทอดทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาต่างๆ ล้วนแล้วแต่มาจากฐานของการเขียนหรือการบันทึกที่ดี
- เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการเตรียมตัวในการจัดปอยปีใหม่ไตในจังหวัดแม่ฮ่องสอน
เสนอให้มีการนำผู้นำชุมชนหรือผู้มีความรู้ต่างๆ โดยวิทยาลัยชุมชนอาจจะเป็นเจ้าภาพ
ไปดูงานศึกษาเรียนรู้รูปแบบวิธีการจัดงานของที่อื่นให้เข้าใจก่อนจะดีหรือไม่
ผลลัพธ์ของการจัดปอยพ่อครูหมอไต
- เป็นวันที่ทำให้คนไตในหลายที่หลายทางเห็นความสำคัญ
ได้มีโอกาสมาพบปะแลกเปลี่ยนกัน เหมือนเป็นวันชุมนุมของพี่น้องไต
- เป็นงานที่ทำให้เกิดความรู้
เนื่องจากมีการจัดเวทีเสวนาความรู้ต่างๆภายในงานด้วย
ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมจากผู้ร่วมเสวนา
- แม่ฮ่องสอนเป็นเมืองที่มีความเป็นอัตลักษณ์ของความเป็นไตค่อนข้างสูง
อีกทั้งยังมีสถาบันไทใหญ่ศึกษาเป็นกลไกขับเคลื่อนงานความรู้
แม่ฮ่องสอนจึงน่าจะสามารถเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้เกี่ยวกับชาติพันธุ์ไทใหญ่
- การยกย่องครูหมอไต
สามารถทำได้ในทุกที่ไม่จำเป็นต้องเป็นแค่ที่ใดที่หนึ่ง
- การจะจัดงาน
อย่าเริ่มต้นด้วยความคิดที่ว่า ใครจะมาช่วย
จะทำให้เหมือนที่อื่นได้ยังไง ทำได้ขนาดไหนเราต้องรู้บริบทของเรา
กิจกรรมการเรียนรู้วัฒนธรรมไทใหญ่
ช่วงเย็น เวลา 18.30 – 22.00 น. นักเรียน นักศึกษา นักท่องเที่ยว
และผู้มาร่วมกิจกรรม ศึกษาเรียนรู้วัฒนธรรมไทใหญ่ ฐานการเรียนรู้อาหารไทใหญ่
และ ฐานการเรียนรู้ศิลปะการแสดงวัฒนธรรมไทใหญ่ โดยมีวิทยากรให้ความรู้ สาธิต
ประจำฐานนั้น ๆ
ฐานการเรียนรู้อาหารไทใหญ่
ฐานการเรียนรู้การแสดงวัฒนธรรมไทใหญ่
เวทีเสวนาวิชาการวัฒนธรรมไทใหญ่
วันที่ 24 มกราคม 2559
หัวข้อ “การจัดการศึกษาเพื่อชาติพันธุ์ไทใหญ่อย่างยั่งยืน”
สรุปเรื่อง
ประสบการณ์ แนวคิด
กระบวนการ และผลลัพธ์ของการจัดการศึกษาของกลุ่มชาติพันธุ์
โดย นางสาวพรพรรณ
มูลนิธิเพื่อพัฒนาศักยภาพเด็กและสตรี
มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพเด็กและสตรี และต่อต้านความรุนแรงทุกรูปแบบ
มีโครงการเกี่ยวกับการศึกษาเป็นหลัก และโครงการสร้างเสริมศักยภาพ โครงการสารสนเทศ
เช่นการจัดรายการวิทยุ จัดทำสารสนเทศเผยแพร่ ทางมูลนิธิได้ทำการสนับสนุนการเรียน จัดที่พักสำหรับเด็กกำพร้า
เด็กด้อยโอกาส 3 หอพัก สนับสนุนการศึกษาจำนวน 13
โรงเรียน ประมาณ 2,000 กว่าคน สนับสนุนทุนการศึกษา ค่าอาหารกลางวัน
และค่าตอบแทนครูอาสา พื้นที่ดำเนินการแบ่งออกเป็น 3 พื้นที่
จังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ อำเภอฝาง อำเภอเวียงแหง และจังหวัดเชียงราย มีการเรียนการสอนวัฒนธรรมและภาษาไทใหญ่
โดยใช้ครูอาสาในพื้นที่ ในแต่ละปีจะมีการแลกเปลี่ยนการเรียนการสอนระหว่างครูนักศึกษาและนักเรียน
อย่างน้อยปีละครั้ง
การเรียนการสอนวัฒนธรรมในโรงเรียนจะใช้หลักสูตรตามกระทรวงศึกษาธิการ
แต่จะเสริมเป็นวิชาเลือก หรือในชั่วโมงของกิจกรรม
จากผลการดำเนินงานถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่งจากการส่งเด็กนักเรียนเข้าประกวด
ในระดับประถม และมัธยม ในระดับประเทศ ซึ่งจะมีตัวอย่างเช่น อำเภอฝาง
ได้ส่งนักเรียนเข้าร่วมการประกวดเรียงความเรื่องค่านิยมหลัก 12 ประการ ชนะเลิศระดับประเทศ
และส่วนหนึ่งคือวัดได้จากการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ เวลามีกิจกรรมก็จะได้รับความร่วมมืออย่างดี
ผลการดำเนินงานการศึกษาคือ เด็กในกลุ่มเป้าหมายสามารถเรียนรู้
และเข้าใจในวัฒนธรรมของตนเองอย่างแท้จริง
สามารถส่งต่อวัฒนธรรมอันดีงามให้คงอยู่ต่อไปได้
นายแสงเมือง มังกร
วัฒนธรรมการศึกษาต้องเกิดจากความต้องการจากข้างในสู่ข้างนอก
ต้องการการแสดงอัตลักษณ์ของตนเอง ไม่ใช่เกิดจากโครงสร้างเชิงพานิชและจากโครงสร้างที่รัฐกำหนด
การเรียนภาษาไทใหญ่จะได้ความสนใจจากกลุ่มคนในภาครัฐในเรื่องความมั่นคง
และในเรื่องการเชื่อมโยงการค้าขาย แต่ไม่ใช่ในเรื่องโครงสร้างของวัฒนธรรม
เราจะทำอย่างไรให้คนภายนอกเข้าใจว่าการศึกษาภาษาไทใหญ่ เป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
ข้อคิดเห็นของครูต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาและวัฒนธรรมไทใหญ่
โดย
นางอำไพ อินทร์บุญ
ทางโรงเรียนได้จัดการเรียนภาษาไทใหญ่โดยใช้สื่อที่หลากหลาย
เช่นการใช้บัตรคำ การใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ การเรียนจากเว็บไซต์ โดยจัดรูปแบบการเรียนเป็นหลักสูตรระยะสั้น 1
สัปดาห์ และมีใบประกาศให้ ความต้องการของโรงเรียนคือ
ต้องการเครือข่ายวิทยากรสอนภาษาไทใหญ่
หัวข้อ “การเชื่อมโยงด้านวัฒนธรรม การท่องเที่ยว
และการค้าชายแดน กับพี่น้องไทใหญ่”
สรุปเรื่อง
การเชื่อมโยงด้านวัฒนธรรมและศาสนากับพี่น้องไทใหญ่ โดย พระปลัดจิตตพัฒน์ อัคคปัญโญ
การเชื่อมโยงด้านวัฒนธรรม
โดยใช้หลักศาสนาในการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องไทใหญ่แม่ฮ่องสอนกับไทใหญ่ประเทศเพื่อนบ้าน
โดยการใช้ศรัทธาถวายพระพุทธรูปแก่วัด เป็นการเชื่อมโยงด้านวัฒนธรรม
ที่เกิดเป็นประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน โดยอาศัยหลักศาสนา ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงก็มีประเพณีวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน
ถือเป็นกลยุทธ ที่ทำให้เกิดประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว
และการค้าขายระหว่างกัน
การเชื่อมโยงการค้าชายแดน
กับพี่น้องไทใหญ่ โดย ดร.ชยุต
จิตธำรงสุนทร
ไตอาหม
(อยู่รัฐอัสสัม)
ไตมาว
(อยู่เมืองมาว)
ไตใต้คง
(อยู่ฟากใต้แม่น้ำคง)
ไตเหนือคง
(อยู่ฟากเหนือแม่น้ำคง)
ไตใหญ่
(กลุ่มใหญ่ที่สุด)
ไตน้อย
(ไทย)
ไตโยน
(อยู่ในแคว้นโยนก)
ไตเหนือ
ไตใต้ หรือไตอิสาน
กลุ่มชาติพันธุ์ไทในรัฐฉาน
แบ่งเป็น 4 กลุ่ม
ชาวไทใหญ่
หรือไทหลวง (ไตโหลง)
ชาวไทลื้อ
มีถิ่นฐานอยู่ในแคว้นสิบสองปันนาของประเทศจีน และทางตะวันออกของรัฐฉาน
ชาวไทเขิน
(ไตขึน) เป็นประชากรส่วนใหญ่ของเมืองเชียงตุง
ชาวไทเหนือ
(ไตเหนอ) อาศัยอยู่ในแค้วนใต้คง (เต๋อหง) ของประเทศจีน
เส้นทางการค้าใหม่ 2
เส้นทาง
แม่ฮ่องสอน-ตองอู-มัณทะเล่ย์(จุดผ่อนปรนห้วยต้นนุ่น)
เชียงดาว-ตองยี-มัณทะเล่ย์ (จุดผ่อนปรนอรุโณทัย)
มีผู้บริโภคประมาณ
มัณทะเลย์
6,935,357
คน
เขตซาไก
4,977,966 คน
รัฐฉาน
4,675,555 คน
รัฐกะฉิ่น
1,254,381 คน
รัฐชิน 487,361
คน
พะโค(ตองอู)
รวม 18,330,620 คน
จุดประสงค์ในการเปิดด่านชายแดน BP13 บ้านห้วยต้นนุ่น ความต้องการของคะยาคือต้องการเดินทางติดต่อกับจังหวัดเชียงใหม่
แต่เรายังไม่ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงของเรา แนวความคิดถ้าเปิด BP 13 เราจะใกล้ทะเลพม่า เชื่อมต่อกับลอยก่อที่มีความพร้อมด้านการพัฒนา
มีการวางแผนเปิดสนามบินนานาชาติมัณฑะเลย์ ส่วนเส้นทาง
BP 9 เส้นทางบ้านยดอยแสงและบ้านในสอยเส้นทางจะสั้นกว่า BP 13
ในการพัฒนาการค้ากับพม่าที่ผ่านมาเราได้มีการพัฒนาที่ต่อเนื่อง
ทั้งในการเชิญเขามา หรือเขาเชิญเราไป
นางสาวอรุณฉาย
วีรติธนาพัฒน์
-
การที่จะทำธุรกิจกับพม่าต้องมีการศึกษาวางแผนด้านต่าง
ๆ
-
พม่ามีหลายชนชาติ
ประเพณีวัฒนธรรมที่หลากหลาย
-
จุดเด่น
พม่ามีทรัพยากรธรรมชาติที่มั่งคั่ง
-
การที่เราจะทำการค้าขายเราต้องรู้จักคนสำคัญในเมืองนั้น
ๆ
-
ความต้องการสินค้าไทยของพม่าประมาณร้อยละ
80
ของสินค้านำเข้า
-
การค้าขายต้องมีความเป็นมิตร
ต้องศึกษาเรื่องภาษาพม่า ไทใหญ่ อังกฤษ และการศึกษาวางแผนในการเดินทาง
จำนวนผู้เข้าชม : 2394